วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การสั่งการ



หลักการสั่งการ(Directing)

การอำนวยการ
หมายถึง การจัดการของผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการสั่งการตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ชี้แนะ บุคคล การนิเทศงาน และการติดตามผล เพื่อให้งานดำเนินไปตามแผน หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้


องค์ประกอบของการอำนวยการ มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่
1. ความเป็นผู้นำ
เป็นกระบวนการของการสั่งการ และการใช้อิทธิพลต่อกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในองค์การ ให้ยอมตามเพราะยอมรับในอำนาจที่มาจาก 3 แหล่ง คือ
1) ขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา
2) อำนาจจากบารมี
3) อำนาจตามกฎหมาย
จึงก่อให้เกิดผู้นำ 3 แบบ คือ
1) แบบประชาธิปไตย
2) แบบเผด็จการ
3) แบบตามสบาย

2. การจูงใจ
มีความสำคัญต่อการสั่งการหรือการอำนวยการ เพราะเกี่ยวกับบุคลากรให้ปฏิบัติงาน จึงจำเป็นต้องมีการจูงใจหรือกระตุ้นให้อยากทำงาน โดยอาศัยหลักธรรมชาติว่ามนุษย์ต้องการ 5 ระดับได้แก่
1) ความต้องการขั้นพื้นฐาน คือปัจจัย 4
2) ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย
3) ความต้องการทางสังคม
4) ความต้องการมีเกียรติยศชื่อเสียง
5) ความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
ดังนั้น ในการสั่งการโดยมีเทคนิคจูงใจด้วย ก่อนจะสั่งการควรขึ้นคำถามก่อนว่า พอมีเวลาหรือไม่หรือ คุณจะช่วยงานนี้ได้ไหม

3. การติดต่อสื่อสาร
เป็นกระบวนการสำคัญช่วยให้การอำนวยการดำเนินไปได้ด้วยดีมีประสิทธิภาพ มี 2ลักษณะคือ
1) สื่อสารแบบทางเดียว
2) สื่อสารแบบ 2 ทาง

4. องค์การและการบริหารงานบุคคล
จุดมุ่งหมายของนักอำนวยการคือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและองค์การ ซึ่งต้องการไม่เหมือนกันผู้อำนวยการจึงต้องทำให้เกิดความสมดุลกัน

สรุปได้ว่า  การอำนวยการหรือการสั่งการ หมายถึง  การใช้ทักษะในการบริหารตลอดจนความสามารถของผู้บริหาร  ในการติดต่อประสานงาน  สั่งการและกระตุ้นให้พนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง  เพื่อให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
การอำนวยการหรือการสั่งการ  เป็นกระบวนการที่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา  เพื่อแจ้งให้ทราบว่า  ให้ใครทำ  ทำอะไร  ทำที่ไหน  ทำอย่างไร  และทำเมื่อใด

การอำนวยการหรือการสั่งการ  เป็นภาระหน้าที่ของผู้นำ  การใช้ความสามารถในการสั่งงาน  การตัดสินใจ  การจูงใจและการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานอย่างดีที่สุด  จนกระทั่งองค์การสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้

ประเภทของการสั่งการ

ในการสั่งการมีหลายแบบ  แล้วแต่จะใช้แบบไหน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน  และตำแหน่งหน้าที่  จึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณา  ใช้ความสุขุมรอบคอบ  และยังเป็นเทคนิคเฉพาะตัวอีกด้วย
1.  การสั่งการโดยตรง ( Demand  of Direct )  เป็นแบบออกคำสั่ง  ( Command  of  Direct)  โดยที่ผู้รับคำสั่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งทันที  การสั่งการในลักษณะนี้มักจะใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือต้องการให้มีการควบคุม  หรือรักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด
2.  การสั่งการแบบขอร้อง ( Request )  เป็นลักษณะโน้มเอียงไปในทางขอความช่วยเหลือหรือร้องขอ  เพื่อเป็นการจูงใจคนให้ทำงาน  เป็นการผูกมิตร  และผู้ทำมีความเต็มใจที่จะทำงาน  หรือใช้ในกรณีที่ต้องการให้ผู้รับมอบงานได้มีโอกาสพิจารณาและไตร่ตรองงานเป็นความภาคภูมิใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน
3.  การสั่งการแบบขอเสนอแนะหรือคำแนะนำ  ( Suggested )  การสั่งการแบบนี่มีลักษณะเร่งเร้ายั่วยุให้เกิดความคิดริเริ่มอยากทำงาน  เป็นการเสริมสร้างหรือส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานให้ทำงานรวดเร็วและมองเห็นลู่ทางในการปฏิบัติงาน

ลักษณะของการสั่งการ

ลักษณะของการสั่งการ  อาจจำแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆ  ได้  2  ประเภทคือ
1.  การสั่งการเป็นหลายลักษณ์อักษร  เป็นการสั่งการที่ใช้กรณีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้  เช่น  เมื่อต้องการจะส่งคำสั่งไปให้อีกแห่งทราบโดยแน่ชัด  เมื่อผู้รับคำสั่งมีความเข้าใจช้าหรือลืมคำสั่งนั้นหรือมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก  ยากแก่การจดจำ  เมื่อต้องการผู้รับคำสั่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงให้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างถูกต้อง  หรือมีคำสั่งที่ตัวเลข  และหรือกำหนดเวลา  จำนวนแน่นอน  ฯลฯ

ข้อบกพร่อง  ที่อาจเกิดจากการสั่งการด้วยลายลักษณ์อักษร  อาจทำให้ผู้ปฏิบัติขาดความสามารถที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมาย  ได้แก่
1.  ข้อความของคำสั่งยาวเกินไป  อาจมีการตีความผิดพลาดหรือจำไม่ได้
2   ซับซ้อนยุ่งยากต่อความเข้าใจ
3.  ไม่เรียงลำดับให้เข้าใจง่าย  หรือคำสั่งมอบหมายให้ปฏิบัติไม่ชัดเจน
4.  ใช้คำศัพท์ทางวิชาการ ( Technical  term )  มากเกินไป  ผู้รับคำสั่งอาจไม่เข้าใจความหมายหรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน
5.  ผู้รับคำสั่งไม่ได้รับอำนาจและขาดอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน

2.  การสั่งด้วยวาจา  โดยปกติมักจะเป็นคำสั่งที่ไม่ค่อยมีรายละเอียดหรือมีความสำคัญมากนักและคำสั่งนั้นไม่เหมาะสมจะสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร  หรืออาจจะต้องมีการอธิบายคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้เข้าใจยิ่งขึ้น
ข้อบกพร่อง  ที่อาจเกิดได้จากการสั่งงานด้วยวาจา  ได้แก่
1.  พูดไม่ชัดเจน  ทั้งคำถามและคำตอบ
2.  ใช้คำสั่งในภาษาที่ผู้รับคำสั่งไม่คุ้นเคย
3.  คาดการณ์ผิด  คิดว่าผู้รับคำสั่งเข้าใจดีแล้ว  ไม่ได้ทบทวนใหม่หรือย้ำคำสั่ง
4.  ไม่เจาะจงผู้รับคำสั่ง  หรือพูดวกวน  หรือพูดหลายเรื่องพร้อมกัน








วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การจัดคนเข้าทำงาน

การจัดหาบุคลากรเข้าทำงาน (Staffing)
ความสำคัญของ ทรัพยากรมนุษย์ ในองค์การและความจำเป็นในการจัดหาบุคลากรเข้าทำงาน

ในการบริหารงานขององค์การนั้น ความมุ่งหมายหลักคือ การต้องการให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างประหยัด มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอีกทั้งพัฒนาให้ก้าวหน้าทันต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ ซึ่งทรัพยากรพื้นฐานที่สำคัญของการบริหารคือ ทรัพยากรมนุษย์ เงินทุน และวัสดุอุปกรณ์
การจัดหาบุคลากรเข้าทำงานในองค์การ จึงเป็นกระบวนการหนึ่งของนักบริหารที่ต้องดำเนินการต่อจากการวางแผนและการจัดองค์การ กล่าวคือ เมื่อได้มีการวางแผนงาน จัดแบ่งงานและกำหนดโครงสร้างขององค์การแล้ว นักบริหารก็จะต้องทำการจัดหาคนเข้าทำงานตามตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม (Put the right man on the right job) “ การจัดหาบุคลากรเข้าทำงาน
(Staffing) จึงครอบคลุมถึงภารกิจที่เกี่ยวข้องกันเป็นกระบวนการดังต่อไปนี้

1.  การวางแผนกำลังคน
2.  การสรรหาบุคคล
3.  การคัดเลือกบุคคล
4.  การบรรจุแต่งตั้ง
5.  การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคคล
6.  การประเมินผลการปฏิบัติงาน
7.  การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน      

                               

คลิกเพื่อดูภาพขยาย ภาพที่ 9.1 ระบบการบริหารงาน

การวางแผนกำลังคน (Human Resource Planning)
หมายถึง การคาดการณ์เกี่ยวกับความต้องการทรัพยากรบุคคลขององค์การทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ
วัตถุประสงค์หลักของการวางแผนกำลังคน คือ
1.  เพื่อให้มีทรัพยากรบุคคลทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ สมดุลย์กับปริมาณงานที่ต้องทำในอนาคต
2.  เพื่อตอบสนองต่อความต้องการต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
3.  เพื่อใช้ข้อมูลที่ได้จากการวางแผนกำลังคน เป็นประโยชน์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ลักษณะสำคัญของการวางแผนกำลังคน

1.  เป็นงานขั้นแรกของการจัดหาบุคลากร ก่อนที่จะดำเนินการรับคนเข้าทำงาน
2.  เป็นงานที่ผู้บริหารต้องทำ การวิเคราะห์ปริมาณงาน เพื่อคาดคะเนถึงจำนวนงานที่ต้องทำในอนาคต แล้วแปลออกมาเป็นปริมาณคนที่ต้องการ
3.  การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) ซึ่งหมายถึง การศึกษาข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับงานในตำแหน่งหน้าที่ทุกตำแหน่งในองค์การ โดยศึกษาว่าแต่ละงานมีลักษณะการทำงานหรือกระบวนวิธีการทำงานอย่างไรบ้าง มีขอบเขตความรับผิดชอบแค่ไหน ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้างในการทำงานนั้นรวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน และคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ของบุคคลที่เหมาะสมจะทำงาน
4.  คำบรรยายลักษณะงาน (Job Description) เป็นเอกสารที่อธิบายถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ วิธีการทำงาน และลักษณะงานของงานแต่ละตำแหน่ง

5.  คำบรรยายคุณสมบัติของบุคคลที่จำเป็นสำหรับงาน (Job Specification) เป็นเอกสารระบุถึงลักษณะส่วนบุคคลที่จำเป็นต้องมีสำหรับการที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพของงานแต่ละตำแหน่ง ซึ่งจะมีรายละเอียดในเรื่องของ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ ความสนใจ